Saturday, 25 March 2023

ทำอย่างไรดี เมื่อ “กัญชาเสรี” บุกโรงเรียน

วันที่ 9 มิถุนายน 2565 นับว่าเป็นวัน “ปลดล็อกกัญชา” ของเมืองไทย “กัญชาเสรี” หลังจาก กระทรวงสาธารณสุข ประกาศว่า กัญชาไม่ใช่ “ยาเสพติด” ทั้งยังยกเลิกความผิดพลาดฐานผลิต นำเข้า ส่งออก มีไว้ในครอบครองเพื่อเสพหรือขาย รวมถึงการเสพหรือการสูบ ซึ่งสร้างความไม่สบายใจให้กับหลายฝ่าย เนื่องจากไม่มีการเตรียมมาตรการทางกฎหมาย เพื่อต่อกรกับผลสรุปที่จะตามมา

หลังจากประกาศปลดล็อกกัญชา ก็มีข่าวการใช้กัญชาที่ส่งผลเสียต่อร่างกายผู้ใช้อย่างล้นหลาม ทำให้ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประกาศให้โรงเรียนในสังกัดกรุงเทพฯ เป็น “เขตปลอดกัญชง – กัญชา” ในวันที่ 15 มิถุนายน 2565 เหมือนกับตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่ประกาศว่าโรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการจะต้องเป็น “โรงเรียนปลอดกัญชา”

ความพยายามสำหรับเพื่อการสกัดกั้นกัญชาในโรงเรียนที่สวนทางกับ “เสรีกัญชา” นอกรั้วโรงเรียน ทำให้การสั่งห้าม กลายเป็นเรื่องยาก และเป็นความรู้สึกกังวลใจที่ “คุณครู” ต้องหาทางจัดการกับกัญชา ที่ไหลล้นเข้ามาในโรงเรียน

ด้วยเหตุนี้ ก็เลยทำให้อาจารย์คนไม่ใช่น้อยรวมกลุ่ม “คุยสถานการณ์กัญชาเสรีในโรงเรียน” เมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา เพื่อสะท้อนปัญหาเรื่องกัญชาในโรงเรียน ที่บางครั้งอาจจะเป็นปัญหาขยายใหญ่โต ถ้าหากว่าไม่มีมาตรการรับมือที่ชัดเจน

กัญชาเสรีในโรงเรียน

สถานการณ์ กัญชาเสรี ในโรงเรียน

ครูหลายท่านเริ่มต้นสะท้อนว่า ก่อนการปลดล็อก ตามประกาศกฎหมาย กัญชาเสรี ก็ประสบปัญหา นักเรียนแอบใช้กัญชาอยู่บ้าง รวมไปถึงสารเสพติดอื่นๆ ซึ่งโดยมากจะมีเหตุมาจากเด็กนักเรียนอยากรู้อยากลอง โดยเด็กนักเรียนที่ใช้กัญชาจะมีลักษณะอยากนอน หลับในห้องเรียน และไม่พร้อมที่จะเรียนรู้ ขณะที่คุณครูมักจะใช้ ขั้นตอนการว่ากล่าว ซึ่งทำให้นักเรียนไม่ได้อยากต้องการมาเรียน เพราะเหตุว่ารู้สึกขายหน้า และหวาดกลัว

จากการสังเกตของครูผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อย ตั้งแต่ตอนเปิดเทอมหลังการระบาดของโรคโควิด-19 ที่กินเวลากว่า 2 ปี พบว่าพฤติกรรมขโมยของ และใช้กัญชาในเด็กนักเรียนมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งได้รับแจ้งข้อมูลว่า มีเด็กเข้าไปเกี่ยวข้องกับ กัญชา ในทุกระดับชั้น และชั้นที่อายุน้อยที่สุดได้รับแจ้งคือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1

ถึงแม้ว่าครูจะต้องต่อกรกับปัญหา กัญชา และพยายามหาทางแก้ปัญหาการใช้กัญชา ของเด็กนักเรียน แต่อาจารย์ที่เข้าร่วมวงพูดคุย ก็สะท้อนว่า การเป็นอาจารย์เหมือนอยู่ที่เปลือกของปัญหา เพราะการเข้าถึงรากของปัญหา ต้องอาศัยเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่สำหรับโรงเรียนที่ถึงแม้จะถูกระบุว่า เป็นสถานที่ราชการ และไม่อนุญาตให้นำกัญชาเข้ามา แต่เมื่อนักเรียนก้าวเท้าออกมาจากโรงเรียน ก็สามารถพบเจอการซื้อขายกัญชาได้โดยง่าย ก็เลยทำให้ปัญหาเรื่องการใช้กัญชา ในโรงเรียนกลายเป็นปัญหาที่ไม่อาจควบคุมได้ร้อยเปอร์เซ็นต์

ปัญหาที่อาจารย์จะต้องพบเจอ

ปัญหาข้อหนึ่งที่ครูสะท้อน เป็นการเข้าถึงสื่อที่ง่ายเหลือเกิน โดยเฉพาะ TikTok ที่เด็กนักเรียนสามารถเข้าถึงข้อมูลเรื่องกัญชาได้ง่ายแค่ปลายนิ้ว แต่ทว่าข้อมูลที่ปรากฏกลับกลายข้อมูลด้านเดียวที่กล่าวว่า การใช้กัญชาจะก่อให้อารมณ์เบิกบาน ขณะเดียวกันอาจารย์ผู้สอนเองก็ขาดความรู้และความเข้าใจเรื่องกัญชา หรือเรื่องหลักพิษวิทยาของกัญชา ทำให้คุณครูปราศจากความพร้อมในการสอน หรือต่อกรกับเด็กที่ใช้สารเสพติด

ในทางกลับกัน อาจารย์เล็กน้อยที่ตระหนักถึงความสำคัญของการสอนเรื่องจุดเด่น-ข้อตำหนิของกัญชา และพยายามเชื้อเชิญผู้เรียนเสวนาแลกเปลี่ยน เรื่องกัญชาในคาบเรียน กลับมิได้รับการช่วยสนับสนุนหรือไม่มีอาจารย์ท่านอื่นร่วมด้วย เนื่องด้วยฝ่ายกิจการนักเรียนคิดว่าการสอนเรื่องกัญชาเป็นเรื่องเฮฮา และไม่ใส่ใจที่จะให้ความรู้ความเข้าใจ

สิ่งเดียวกัน แม้นักเรียนจะสนใจประเด็นนี้เป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่อาจจะเข้าถึงความรู้เรื่องกัญชาได้ เพราะว่าขัดกับหลักโรงเรียนคุณธรรม

คุณครูผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อยชี้ว่า ปัญหาสำคัญที่สุดของเหตุการณ์กัญชาในโรงเรียน เป็นแนวทางของกระทรวงศึกษาธิการ ที่ไม่สอดคล้องกับทิศทางของสังคม และนโยบายกัญชาเสรีของภาครัฐ นำมาซึ่งการทำให้อาจารย์ทำงานตรากตรำ คุณครูเสมือนตกอยู่ในสถานการณ์ออกรบแต่ไม่มีอาวุธ ตั้งแต่ไม่มีสื่อการสอนเรื่องกัญชาที่เป็นกลาง ที่บ่งบอกทั้งด้านดี และด้านเสียของการใช้กัญชา ไปจนกระทั่งกรรมวิธีรับมือกับเด็กที่ใช้กัญชาอย่างถูกต้อง และไม่ตัดทอนความเป็นมนุษย์ของเด็กนักเรียน

ยิ่งกว่านั้น ภาระงานอื่นๆเยอะแยะที่นอกเหนือจากการสอน ก็เป็นอีกเหตุที่ทำให้ครูหลายคนเลือกที่จะเฉยเมยต่อเด็กที่มีปัญหา ถึงแม้คุณครูรุ่นใหม่จะพยายามเข้าไปเปลี่ยน แต่แรงกระแทกจากคำสั่งกระทรวงฯ ผู้อำนวยการ เพื่อนอาจารย์ หรือผู้ปกครอง ก็ทำให้ครูผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อยยอมไปในที่สุด

กัญชาเสรี

ทางออกสำหรับทุกคน

คุณครูที่ร่วมวงเสวนาสะท้อนว่า ทางออกของหลักสำคัญกัญชาเสรีในโรงเรียนคือ สร้างการศึกษาที่เปิดกว้าง ให้เด็กนักเรียนได้เสนอคำถามกับการใช้กัญชา เปิดโอกาสให้เด็กนักเรียนได้ทำความเข้าใจ และเข้าถึงข้อมูลที่ถูก รวมทั้งเปิดโอกาสให้ มีการติดต่อระหว่างผู้เรียน ครู และผู้บริหาร เหมือนกับการผลิตสื่อการสอนที่เป็นกลาง ไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง กล่าวถึงจุดเด่น – ข้อด้อยของการใช้กัญชาอย่างตรงไปตรงมา และสามารถเข้าถึงข้อมูลพวกนี้ได้ง่าย

ทั้งนี้ การสร้างวัฒนธรรมหน่วยงานที่ “รับฟังนักเรียน” จะเป็นทางออกที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในระยะยาว โดยอาจารย์ที่ร่วมกลุ่มสนทนามีความคิดเห็นว่า โรงเรียนไม่มีระบบที่เข้ามารองรับและช่วยเหลือ นักเรียนที่ใช้สารเสพติด เหมือนกับการติดต่อสื่อสารกับเด็กนักเรียนกลุ่มนี้ก็เป็นไปได้ยาก เพราะเหตุว่าอาจารย์กับเด็กนักเรียนใช้คนละภาษา

ยิ่งไปกว่านั้น ค่านิยมของโรงเรียนก็ตัดสินว่านักเรียนที่ใช้สารเสพติดเป็นคนไม่ดี ครูก็เพ่งเล็งว่านักเรียนคนนั้นๆเป็นเด็กเกเร เพื่อนร่วมชั้นก็ไม่รับ ซึ่งทั้งหมดล้วนส่งผลให้การเห็นคุณค่าในตนเอง และกลับตัวกลับใจให้ดีขึ้น ของเด็กนักเรียนคนนั้นเกิดได้ยากขึ้นกว่าเดิม

โดยเหตุนั้น การทำงานกับความเลื่อมใสของคุณครูและเพื่อนร่วมชั้น ก็เลยเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก เพื่อทำให้นักเรียนมีคนที่สามารถเชื่อใจและคุยได้ ซึ่งจะก่อให้เด็กนักเรียนรู้สึกไม่เป็นอันตราย เกิดความไว้ใจและไว้วางใจ นำมาซึ่งการก่อให้เกิดความรู้สึกเชื่อมั่น และสะท้อนการเห็นคุณค่าในตนเอง ที่เยอะขึ้นเรื่อยๆ

สุดท้ายคือความรับผิดชอบของภาครัฐ ที่ควรมีแผนระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อช่วยเหลือคุณครูในโรงเรียนที่กำลังจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นกับการใช้กัญชาของนักเรียน รวมถึงหลักการที่จะช่วยอุดรอยรั่วของนโยบายกัญชาเสรี เพื่อป้องกันนักเรียนจากการใช้กัญชาโดยไม่ตระหนักถึงข้อด้อยของมัน เช่นเดียวกับป้องกันไม่ให้กำเนิดคือปัญหาที่จะถั่งโถมเข้าใส่อาจารย์ กระทั่งครูรู้สึกหมดพลังกับการจัดการกับปัญหารายวัน และลดทอนเชื่อถือของอาจารย์ที่ตั้งใจมาให้ความรู้กับนักเรียน